เรื่องเล่าหลอน “ศพเฮี้ยน” เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวครั้งนี้ มันเกิดขึ้นราวปี 2502 ขณะที่ผมเองยังเป็นเด็ก แต่ก็ได้รับรู้ถึงเรื่องราวแห่งความอาฆาตแค้นและแรงแห่งความพยาบาทครั้งนั้นได้ดี…สมัยนั้นผมติดคุณปู่ของผมมากจะไปไหนก็มักจะติดสอยห้อยตามไปด้วยทุกครั้ง เรียกได้ว่าเห็นปู่ที่ไหนจะต้องเห็นผมที่นั่นเลยก็ว่าได้และครั้งนี้ก็เช่นกัน ปู่บอกว่าจะเดินทางไปต่างจังหวัดร้อยเอ็ดสักสองสามวันผมก็เลยขอติดตามปู่ไปด้วย
“เอ็งอยากจะไปก็ไป แต่ข้าบอกก่อนว่าที่นั่นน่ะมันกันดารไม่เหมือนที่บ้านเรา แต่ถ้าไปเอ็งก็ต้องหัดมีความอดทนหน่อย ไม่ใช่บทจะเบื่อขึ้นมาก็โยเยจะกลับท่าเดียว”
ปู่บอกกับผมเหมือนเป็นการปรามเอาไว้ก่อน
“ตกลงครับ รับรองว่าไม่เบี้ยวแน่”
ผมรับปากอย่างแข็งขันเพราะกลัวปู่จะไม่ให้ไปด้วย จากนั้นเราสองคนปู่กับหลานจึงช่วยกันจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ ลงย่าม ทั้งเสื้อผ้า สบู่ ยาสีฟัน กระทั่งทุกอย่างถูกเตรียมเป็นที่เรียบร้อยพร้อมสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ ผมรู้ว่าปู่จะไปทำธุระครั้งนี้ด้วยเรื่องอะไรแต่ผมก็ไม่สนใจหรอกครับเพราะปู่ของผมเป็นคนเก่งแกมีวิชาอาคมมากมาย ดังนั้นทุกครั้งที่ไปไหนกับปู่ผมจึงสบายใจได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องผีเรื่องสางผมไม่สนเลยเพราะปู่บอกว่าต่อให้เป็นต้นตระกูลผีแกก็ไม่กลัว เพราะแกมีของดีอยู่ในตัวและแกก็ได้มอบของดีนั้นให้กับผมด้วย นั่นคือว่านตากแห้งชนิดหนึ่งซึ่งเชื่อกันว่ากลิ่นของว่านชนิดนี้ผีกลัว เขาจึงเรียกกันว่า “ว่านผีแขยง” ซึ่งปู่ของผมไปได้มาจากประเทศลาวตั้งแต่สมัยแกยังหนุ่ม การเดินทางไปจังหวัดร้อยเอ็ดในครั้งนั้นมันแสนยากลำบากขณะนั้นดินแดงแห่งทุ่งกุลาเต็มไปด้วยทุ่งซึ่งความแห้งแล้งฝืนดินที่แตกระแหงนั้นบ่งบอกได้อย่างดีว่า สภาพดินฟ้าอากาศที่นั่นมันโหดร้ายปานใด
“เราจะไปพักกันที่หมู่บ้านข้างหน้านั้น”
ปู่กล่าวขึ้น ขณะที่เราลงจากรถ ฝ่าไอแดดที่ร้อนผ่าวและฝุ่นที่ปลิวคลุ้งมาจับตัวรถจนกลายเป็นสีโอวัลติน เรามองผ่านเนินเตี้ยๆ ลูกหนึ่งเห็นหลังคาหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปเบื้องหน้า
“โห…ตั้งไกลนะปู่ เราจะต้องเดินไปเหรอครับหรือว่ามีรถโดยสาร”
ผมถามด้วยน้ำเสียงเหมือนกับบ่นเสียมากกว่า
“เดิน..ห้ามบ่นนะ”
ปู่ตอบสั้นๆ ด้วยเสียงห้าวๆ ซึ่งเสียงแบบนี้ผมรู้ดีว่าก็กำลังปรามผมเอาไว้ก่อนแล้ว คงรู้ว่าผมต้องบ่นอุบแน่ก็มันทั้งร้อนแดดเปรี้ยงและไกลลิบออกอย่างนั้นเป็นใครก็ต้องบ่นเหมือนกันนั้นแหละ ในที่สุดเราสองคนปู่หลานก็เดินฝ่าเปลวแดดยามบ่ายมาถึงแนวเขตหมู่บ้านซึ่งล้อมรอบไปด้วยทุ่งนาที่แสนจะแห้งแล้ง ผมได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่ดูแตกต่างจากคนภาคกลางอย่างสิ้นเชิงแม้กระทั่งควายที่พวกเขาเลี้ยงเอาไว้ไถนามันดูผอมซูบ ไม่อ้วนพีเหมือนกับควายที่อยุธยาบ้านผม ดูแล้วมันน่าสงสารจริงๆ
“เออ…ขอโทษทีเถอะพ่อหนุ่ม รู้จักบ้านของตาสุขไหม ฉันเป็นเพื่อนของเขามาจากอยุธยาโน่นช่วยพาไปพบที”
ปู่ถามชายคนหนึ่งซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับการมัดกองฟาง เขาบอกว่ารู้จักดีแล้วก็พาเราไปที่บ้านของตาสุขเพื่อนของปู่ผม ซึ่งที่นั่นตาสุขก็ต้อนรับขับสู้พวกเราเป็นอย่างดี หลังจากที่เราไปถึงบ้านของตาสุข ได้อาบน้ำพักผ่อนกันพอสมควรแล้ว ปู่ก็บอกให้ผมรออยู่ที่บ้านตาสุขส่วนแกกับตาสุขจะไปธุระค่ำๆ จึงจะกลับซึ่งผมก็ไม่ได้ตามเพราะรู้สึกเหนื่อยกับการเดินทางอย่างมาก ปู่กับตาสุขกลับมาถึงบ้านอีกครั้งก็ราวสองทุ่มเห็นจะได้ จากนั้นไม่นานพวกเราต่างก็เข้านอนโดยนอนอยู่มุ้งเดียวกับปู่ ส่วนตาสุขเพื่อนซี้ของปู่นั้นอยู่อีกห้องติดๆ กัน..ขณะที่ผมกำลังจะเคลิ้มๆ อยู่นั้นหูของผมก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น มันคล้ายๆกับเสียงลมที่พัดกระโชกแรงมาก แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามีลมเท่าไหร่นัก พร้อมกันนั้นเสียงหมาที่นอนอยู่ใต้ถุนก็หอนขึ้นมาพร้อมๆกัน เหมือนกับมันเห็นอะไรสักอย่าง
เสียงหอนของหมามันฟังดูเยือกเย็นมากครับ ผมเริ่มปอดกระเส่าขึ้นมาบ้าง เมื่อหันไปมองทางปู่ก็เห็นแกยังอยู่ในอาการปกติดีจึงอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
“หมามันหอนทำไมครับปู่” ผมถามขึ้น
“จะไปรู้รึ..ข้าไม่ใช่หม่นี่หว่า”
ปู่ตอบกวนๆ จนผมแอบยิ้มไม่ได้ จากนั้นจึงพยายามข่มตาให้หลับแต่มันก็หลับไม่ลงเลยจริงๆ และทันใดนั้นเองหูผมก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่ฟังดูผิดปกติมากจึงอดใจไม่ได้ที่ต้องลุกขึ้นไปดูให้เห็นชัดๆ เพื่อให้คลายความสงสัยไม่งั้นหลับไม่ลงแน่ๆ ผมจุดเทียนไขเล่มนึง พอสว่างก็เดินออกจากห้องไปบริเวณรอบๆบ้านแต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติปู่ของผมจึงตระโกนออกมาจากห้องว่าให้ลงไปดูใต้ถุนบ้านด้วย ผมจึงเดินลงไปดูตามที่ปู่สั่ง..ขณะที่ผมกำลังก้าวลงบันไดบ้านนั้น ผมก็เห็นสิ่งหนึ่งจากความสว่างของเทียนที่สาดส่องออกไปเป็นรัศมีพอสมควร ภาพนั้นปรากฎอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งตรงหน้าบ้านมันไม่ใช่คนแต่มันเป็นผีชัดๆ ภาพที่เห็นคือภาพอะไรบางอย่างที่คล้ายผู้หญิง มันอยู่ในลักษณะเอาหัวที่มีผมยาวกว่าวาห้อยลงสู่พื้นดิน ส่วนใบหน้าของมันก็ช่างหน้าเกลียดน่ากลัวอะไรปานนั้น เพราะเต็มไปด้วยเลือดและหนองที่ไหลเยิ้มอีกทั้งตาก็ถลนออกนอกเบ้า ใหญ่เท่ากับไข่ไก่เลยทีเดียว
ที่ร้ายไปกว่านั้นมันยังแลบลิ้นยาวออกมาตวัดเกือบจะถึงตำแหน่งที่ผมยืนอยู่ ผมต้องเบิกตาด้วยความตกใจกลัวสุดขีดเนื้อตัวสั่นเทายืนแทบไม่ติด มันส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยอยู่ตลอดเวลา
“ฮิ…ๆ…ๆ…ๆ…”
เจ้าผีร้ายมันหัวเราะแต่ผมสิครับแทบร้องไห้ ผมต้องตะโกนร้องลั่นออกมาสุดเสียงด้วยความหวาดกลัวที่จับขั้วหัวใจ
ผมร้องออกมาด้วยความกลัวจากนั้นก็หมดสติไปทั้งคนทั้งเทียนไขที่ถืออยู่ในมือตกลงบันไดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มารู้สึกอีกทีตอนที่ปู่เรียกชื่อผมพร้อมทั้งเขย่าปลุกให้ตื่น
“นนท์…นนท์โว้ย…เอ็งเป็นอะไรไป…ตื่นเร็ว..ตื่น!!”
เมื่อผมตื่นขึ้นมาจึงเล่าเรื่องที่ผมโดนผีหลอกให้คนในบ้านฟังตาสุขเพื่อนปู่ก็พูดขึ้นว่า
“ผีอิกลอยเอาอีกแล้วหรือนี่ ทำไมไม่ยอมไปผุดไปเกิดเสียที”
ปู่เลยถามขึ้นว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรกัน ตาสุขจึงเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนนี้สัปเหร่อประจำหมู่บ้านชื่อสิงห์ ได้แอบไปได้เสียกับอีกลอยซึ่งเป็นลูกของผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่ง เสร็จแล้วนังกลอยต้องการให้นายสิงห์เลี้ยงดูแต่นายสิงห์ไม่ยอม จนนังกลอยมันตั้งท้องได้สามเดือนแต่นายสิงห์ก็ไม่ยอมแต่งงานด้วยอ้างว่าไม่มีเงิน ดังนั้นทั้งคู่จึงมาอยู่ร่วมกันเฉยๆ ทำให้ผู้ใหญ่โกรธมากถึงขนาดขู่จะฆ่านายสิงห์ ทำให้นายสิงห์กลับต้องหนีไปอยู่ที่อื่น ส่วนนังกลอยด้วยความเสียใจจึงผูกคอตายบนขื่อบ้าน เมื่อนังกลอยตายผู้ใหญ่บ้านเอาไปฝังไว้ก่อนกลายเป็นผีตายทั้งกลม แต่วิญญาณของนังกลอยมันเฮี้ยนมาก เที่ยวหลอกหลอนคนแม้แต่พระเณรก็ไม่เว้น ฝ่ายนายสิงห์เมื่อรู้ข่าวว่านังกลอยตายและผู้ใหญ่จะทำการขุดทำการเผาให้ดวงวิญญาณไปอย่างสงบ จึงได้กลับไปขอขมาต่อผู้ใหญ่พร้อมกับช่วยหาฟืนมาเผาศพเมียด้วยความรู้สึกผิด
ร่างนังกลอยถูกนำวางบนเชิงตะกอนกลางแจ้งและนิมนต์พระมาสวดบังสุกุล พร้อมกับเริ่มจุดไฟเผาศพของนังกลอย ซึ่งเปลวเพลิงก็ค่อยๆลุกโหมไหม้ศพอย่างรวดเร็ว ขณะที่นายสิงห์ยืนเอาฟืนใส่กองไฟอยู่นั้น สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อมืออันหงิกงอของศพนังกลอยได้ยื่นออกมาบับคอนายสิงห์อย่างรวดเร็ว จนนายสิงห์ร้องเสียงหลง ผีนังกลอยรวบเอาร่างอันทุรนทุรายของนายสิงห์เข้าสู่กองเพลิงที่ลุกโหมอย่างรุนแรง จนกระทั่งนายสิงห์ขาดใจตายคากองฟอนของนังกลอยและตรงนั้นนั่นเองศพของนายสิงห์ถูกเผาไปพร้อมกับศพนังกลอยในวันนั้นด้วยแรงพยาบาทอาฆาต